ก่อนจะเข้าซื้อเหรียญ/โปรเจคเหล่านี้ได้ ท่านต้องเป็นสมาชิกบิทคับ (หากยังไม่เป็น สมัครที่นี่) และต้องยืนยันตัวตนก่อน (ถ้ายังไม่ยืนยันตัวตน อ่านวิธียืนยันตัวตนที่นี่)
บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นของผู้เขียนช่วยในการตัดสินใจของนักลงทุน นักลงทุนควรหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงของตัวท่านเองหลักการเลือกพิจารณาจาก: คู่แข่งในตลาด / ความน่าสนใจโปรเจค / ความแปลกใหม่ / การต่อยอด / การเข้าถึงผู้บริโภค / อนาคตของเหรียญ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้พิจารณาโดยผู้เขียนเอง ข้อมูลนี้ไม่ใช่แนะนำการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลอื่นเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มพิจารณาแต่ละเหรียญกันได้เลยนะครับ
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนตัดสินใจลงทุนครับ
 |
เป็นเหรียญที่น่าลงทุนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างหนักหน่วง กว่าจะเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน บิทคอยน์ถูกคาดหวังว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าได้ในยามเกิดวิกฤตเช่นเดียวกับทองคำ ต่างกันที่ทองคำแม้จะหายากเพียงใดแต่ก็ไม่เกินเอื้อม แต่ว่าบิทคอยน์นั้นมันมีจำกัดเพียงแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งคนบนโลก 2 พันกว่าล้านคนไม่อาจครอบครองได้ จึงมีสมมติฐานที่ว่าเมื่อเกิดวิกฤตจริงๆ บิทคอยน์จะมีราคาค่างวดที่เกินกว่าคนธรรมดาจะเอื้อมถึงแน่นอน
2.เหรียญ ETHผู้เขียนขอเรียกว่าการทำสัญญาในยุค Digital คือเราอาจจะเคยชินการทำสัญญาที่ต้องเซ็นบนกระดาษ ทั้งสองฝ่ายถือไว้คนละฉบับ เมื่อมีปัญหากันก็ต้องให้คนกลางคือศาลเข้ามาตัดสินคดี บางทีคนถูกกลายเป็นผู้แพ้ไปเสียอย่างนั้น เพื่อตัดปัญหาดังกล่าวจึงมีการทำสิ่งที่เรียกว่าสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) คือเมื่อมีการทำสัญญาเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะได้ข้อมูลต่างตอบแทนทันที โดยเป็นรูปแบบของการระดมทุน พูดให้ชัดเจนคือ บริษัทที่จะระดมทุนจำต้องออกข้อมูลเหรียญเป็นเสมือนหุ้นของบริษัทออกมาเรียกว่า Token เมื่อนักลงทุนโอนเงินให้บริษัท สัญญานี้จะส่ง Token ให้กับนักลงทุนทันที ยื่นหมูยื่นแมวในวันนั้น ไม่ต้องกลัวการไม่ส่งมอบของ เพียงแต่ว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องที่ใหม่ กฎหมายยังตามไปได้ไม่ถึง และตัว Token เองก็ไม่ได้มีสถานะทางกฎหมายเฉกเช่นกับหุ้นสามัญ นักลงทุนเลยต้องรับความเสี่ยงเอา แต่มีข้อดีคือ ใครก็ตามบนโลกที่มีเน็ตเข้าถึงสามารถลงทุนได้ ไม่จำกัดวงเงิน และถ้า Token ได้ถูกลิสต์บนกระดานเทรด ก็มีสิทธิที่คนทั้งโลกจะเข้ามาซื้อได้ ย่อมดีกว่าหุ้นสามัญที่ซื้อได้เฉพาะคนรัฐ หรือชาวต่างชาติที่เป็นพอร์ทกับโบรกเกอร์ในไทยแล้วเท่านั้น
สองเหรียญนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากผู้สร้างนั้นคนๆเดียวกัน แต่มีการแยกโปรเจคออกมา คือ Ripple (XRP) ถูกวางตัวให้เป็นสกุลเงินดิจิตัลสำหรับธนาคาร เราจึงได้ยินข่าวบ่อยๆว่า Ripple เป็นพันธมิตรกับธนาคารมากมาย แต่ข่าวร้ายคือพวกเหรียญที่ใช้แลกเปลี่ยนระหว่างธนาคารด้วยกัน ใช้เทคโนโลยีของ Ripple แต่ไม่ได้ใช้เหรียญ XRP ที่เราเทรดๆกันในการแลกเปลี่ยน ดังนั้นอุปสงค์ที่เกิดมันมาจากนักลงทุนรายย่อย โอกาสที่ราคาจะพุ่งสูงขึ้นก็ยาก เพราะเจ้าของถือครองเหรียญไว้เยอะ อยากปล่อยมาทุบตลาดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เหรียญนี้ค่อนข้างนิยมเพราะว่าเจ้าของชอบปั่นราคาเหรียญ การเข้าซื้อเหรียญนี้จึงต้องระวังเพราะว่าราคาที่พุ่งสูงขึ้นเป็นลักษณะของการทำราคา ไม่ใช่ Demand ที่เกิดขึ้นจริงครับ ส่วน Stellar เป็นโปรเจคที่คลอดออกมาทีหลัง ใช้ในแวดวงธุรกิจ รับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ราคาไม่หวือหวาเท่า แต่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย
4.เหรียญ USDT
เหรียญนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาความสวิงของราคาเหรียญ กล่าวคือในช่วงเวลาข่าวแรงๆ ราคาบิทคอยน์จะมีการผันผวนอย่างรุนแรง เช่นราคาร่วง 10% ในวันเดียว ทางแก้คืออาจจะต้องขายเพื่อลดความเสี่ยงลงมา แต่ทว่าเดิมปัญหาที่เจอการขายออกมาเป็น USD มันต้องโอนผ่านพวก Swift code ซึ่งรอหลายวัน ดังนั้นจึงมีการสร้างเหรียญนี้ขึ้นมาแทนเหรียญ USD ในลักษณะของ Stable coins คือผูกไว้ในอัตราแลกเปลี่ยน 1USDT และได้ 1 US Dollar นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีของนักลงทุน แต่ก็ไม่ได้ปลอดภัยเสียทีเดียว เพราะเหรียญนี้มีการตั้งประเด็นถึงการมีเงินดอลล่าห์สำรองอยู่จริงหรือไม่? มีการตรวจสอบจากทางอเมริกาหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังอยู่รอดมาได้(สมมติฐานของผู้เขียนคือทางรัฐอาจเป็นผู้สนับสนุนเสียด้วยซำ้ เพราะหากว่าเงิน USD ถูกใช้ในตลาดอื่นเช่นตลาดนำ้มัน ตลาดหุ้น เงินสำรองระหว่างประเทศ รวมถึงตลาด Crypto เป็นไปได้ว่าเงิน US Dollar ก็ไม่มีวันตายง่ายๆ แม้จะปริ้นเงินมาอีกที ก็ไม่เจ๊ง เพราะมีความต้องการของตลาดอยู่) แต่ก็อย่านิ่งนอนใจไปนะครับ ควรถือครองในความเสี่ยงที่รับได้ครับ
อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวของผู้เขียนเองนะครับ คือเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ลองคิดภาพว่าถ้าข้อมูลของเราถูกเก็บไว้ใน Blockchain เรายื่นข้อมูลให้ Civic เช็คครั้งเดียว เวลาที่เราจะไปสมัครเว็บเทรด เราก็แค่ให้เว็บนั้นดึงข้อมูลจากโปรเจค Civic เอา หรือกระทั่งเราไปสมัครสมาชิกเว็บไหน นั่งเครื่องบิน กินร้านอาหาร สารพัดเราก็ไม่ต้องมานั่งกรอกฟอร์มแต่ละเว็บ แค่กดอนุญาตบนมือถือ เท่านี้เราก็เป็นสมาชิกแล้ว คล้ายๆกับกรณีของ Login ด้วย Facebook กดปุ่มเดียวก็สมัครได้เลย แต่ความเหนือชั้นอยู่ที่ Civic เก็บข้อมูลในบล็อคเชนที่ปลอดภัยและไม่ขายข้อมูลของเราให้ Agency โฆษณา จะดีขนาดไหน สะดวกมากขึ้น และความเป็นส่วนตัวก็ไม่ถูกละเมิดด้วย
6.เหรียญ Golem (GNT)
เป็นโปรเจคที่ว่าขอยืม CPU/GPU ของคุณหน่อย แลกกับเหรียญ Golem ลองคิดสภาพถึงโปรเจคการคำนวณขนาดใหญ่ ในยุคที่ข้อมูลมหาศาลล้นโลก เราก็ย่อมต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังในการคำนวณข้อมูล และการซื้อ SuperComputer เครื่องนึงก็มีราคาหลายบาท จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถยืมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นบนโลกมาช่วยคำนวณ เราไม่ต้องจ่ายค่าบำรุงรักษา เราไม่ต้องจ่ายเงินเวลาที่เราไม่ได้ใช้ เราไม่ต้องแบก Cost มากมาย จ่ายตามที่เราใช้จริง เราก็สามารถเป็นเจ้าของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในราคาประหยัด มันจะสร้างผลดีต่อโลกได้มหาศาลเลยทีเดียว
7.เหรียญ Decentraland (MANA)
ในยุคที่ดิจิตอลเข้ามามีบทบาทสร้างสรรค์ทุกสิ่งอย่าง ถ้าคุณไม่สามารถจับจองที่ดินทางกายภาพความเป็นจริงได้ คุณก็จับจองที่ดินในโลกเสมือนสิ ลองคิดภาพว่าในปัจจุบันคุณพบลูกค้าโดยการขับรถ ฝ่ารถติด ไปนัดมีตติ้งในร้านกาแฟ กว่าจะได้ดีลงานก็หมดเวลาไปค่อนวัน จะดีกว่าไหมถ้าหากว่าเราสามารถมีตติ้งลูกค้าในโลกเสมือนได้เลย แค่ทั้งสองฝ่ายสวมใส่แว่น VR แล้วก็นั่งคุยถึงปัญหา/ดีล ใช้เวลาแค่เสี้ยววินาที ก็นัดเจอกันได้แล้ว เหรียญนี้อาจจะดูเพ้อไปนิด แต่ลองคิดภาพดูว่าถ้าคุณเปิดร้านอะไรสักอย่างในโลก VR ได้ คุณก็อาจจะได้ลูกค้าที่อยู่ในโลกเสมือนนั้น และได้เงินจากลูกค้าในโลก VR ได้ด้วยนะครับ น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะครับเหรียญอื่นๆที่ไม่ได้พูดถึงไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะครับ บางโปรเจคดี แต่ที่ไม่นำมาเพราะว่าอาจจะเป็น Project ที่ล้าสมัยไปแล้ว ซำ้กัน หรือไม่น่าสนใจนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น